ไม่รู้ไม่ได้! ศึกษาให้ดีเรื่อง ภาษีขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญของคนทำธุรกิจ E-Commerce!

ไม่รู้ไม่ได้! ศึกษาให้ดีเรื่อง ภาษีขายของออนไลน์ สิ่งสำคัญของคนทำธุรกิจ E-Commerce!

เป็นที่รู้กันว่าในปัจจุบันนี้ การซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์กลายเป็นสิ่งที่แพร่หลายและเติบโตขึ้นอย่างมาก นี่คือโอกาสที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าของตนเองหรือเปิดธุรกิจ SMEs ในโลกออนไลน์ แต่มีอะไรหนึ่งที่คนมักมองข้ามไปได้คือ “ภาษีขายของออนไลน์”  เมื่อคุณเริ่มทำธุรกิจออนไลน์หรือ E-Commerce ความสำเร็จคือเป้าหมายหลัก แต่อย่าลืมว่า “การจ่ายภาษี” เป็นส่วนสำคัญที่ไม่ควรปล่อยผ่านเด็ดขาด ในบทความนี้เราจะพาคุณทำความเข้าใจถึงภาษีขายของออนไลน์หรือภาษี E-Commerce อย่างละเอียด โดยมีรายละเอียดและข้อมูลสำคัญที่คุณควรรู้ในการดำเนินธุรกิจของคุณ กันเถอะ!

ภาษีขายของออนไลน์คืออะไร?

ภาษีขายของออนไลน์หรือภาษี E-Commerce เป็นภาษีที่ต้องเสียเมื่อคุณขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นการขายในลักษณะอาชีพเสริมหรือเป็นรายได้หลัก รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการถือเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 ตามกฎหมายภาษีอากร

ผู้ประกอบการแบบบุคคลธรรมดา

ในกลุ่มนี้เป็นผู้ขายที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เขาอาจจะทำการขายของเองหรือนำสินค้ามาจากที่อื่นแล้วขายในรูปแบบของบุคคลธรรมดา รายได้จากการขายสินค้านี้ถือเป็นเงินได้จากการขายสินค้าและบริการ (เงินได้ประเภทที่ 8) ภาษีจะถูกคิดตามอัตราภาษีที่เป็นเงินได้สุทธิ (ภ.ง.ด. 91) ซึ่งจะคำนวณได้สองแบบ และผู้ประกอบการต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งที่ต้องจ่ายสูงกว่า

แบบที่ 1: มีรายได้จากการขายสินค้าหรือบริการเป็นรายได้หลัก

คำนวณแบบเงินได้สุทธิ (ภ.ง.ด. 91): รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน

แบบที่ 2: มีงานประจำและรายได้จากการขายสินค้าเกิน 120,000 บาท (ต่อปีภาษี)

คำนวณแบบเงินได้พึงประเมิน (ภ.ง.ด. 94): นำเงินได้จากการขายสินค้าทั้งหมดคูณด้วย 0.005 และตรวจสอบกับภ.ง.ด. 91 ว่าภาษีที่ต้องจ่ายมากกว่ากัน

ผู้ประกอบการแบบนิติบุคคล

ในกลุ่มนี้เป็นผู้ขายที่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทหรือห้างหุ้นส่วน จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามกำไรสุทธิตามกฎหมายภาษีอากร อัตราภาษีคือ 20% ของกำไรสุทธิ

รายได้จากการขายสินค้าออนไลน์

คุณคงจะสงสัยว่าคำว่า “รายได้” หมายความว่าอะไรบ้างในบริบทของการขายสินค้าออนไลน์ รายได้นี้ไม่เกี่ยวกับเงินได้จากเงินเดือนหรืออาชีพอื่นๆ ที่คุณมี แต่เป็นรายได้ที่คุณได้จากการขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ หากมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี คุณจะต้องจัดการเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) โดยจะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และรายงานภาษีขาย รายงานภาษีซื้อ และยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม

รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการ

เมื่อคุณขายของออนไลน์ รายได้จากการขายสินค้าหรือบริการนั้นถือเป็นรายได้ที่ต้องเสียภาษี การคำนวณภาษีขึ้นอยู่กับประเภทของรายได้และรูปแบบธุรกิจของคุณ

1.ภาษีเงินได้ 

-บุคคลธรรมดา  ถ้าคุณขายของออนไลน์เป็นรายได้หลักและไม่ได้รับเงินเดือนประจำ คุณต้องคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ ซึ่งคำนวณได้โดยการหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนจากรายได้ของคุณ

-นิติบุคคล  นิติบุคคลจะต้องเสียภาษีจากกำไรสุทธิตามกฎหมายภาษีอากร อัตราภาษีคือ 20% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่าย

2.เงินได้พึงประเมิน (ภ.ง.ด. 94)

ถ้าคุณมีรายได้จากการขายสินค้าเกิน 120,000 บาทต่อปี และมีรายได้จากงานประจำ คุณต้องคำนวณภาษีโดยใช้สูตรเงินได้จากการขายสินค้าคูณ 0.005 และนำไปเทียบกับภาษีเงินได้สุทธิ

3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

การจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เกิดขึ้นเมื่อธุรกิจของคุณมีรายได้เกิน 1,800,000 บาทต่อปี คุณจะต้องจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม และจ่ายภาษี VAT พร้อมจัดทำรายงานภาษี

4. การปฏิบัติถูกต้อง

การไม่เสียภาษีเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น หากคุณมีรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์แล้วไม่แจ้งหรือไม่จ่ายภาษี คุณจะเรียกว่า “ผิดกฎหมาย” และอาจต้องเสียค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยที่เรียกว่า “เบี้ยปรับและเงินเพิ่ม” นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่กรมสรรพากรอาจตรวจสอบรายการเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ซึ่งอาจทำให้ธุรกิจของคุณมีความเสี่ยงในอนาคต

5. สรุป

การทำธุรกิจ E-Commerce หรือการขายสินค้าออนไลน์เป็นโอกาสที่ดีในยุคปัจจุบัน แต่ควรระมัดระวังเรื่องภาษีขายของออนไลน์ เพื่อป้องกันตัวเองจากความไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และควรทำการบันทึกข้อมูลและจ่ายภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมายไทย  การเสียภาษีขายของออนไลน์เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินธุรกิจ E-Commerce อย่างถูกต้อง คุณต้องคำนึงถึงประเภทของรายได้และรูปแบบธุรกิจของคุณเพื่อคำนวณภาษีให้ถูกต้อง

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *


The maximum upload file size: 2 GB.
You can upload: image.