e-Receipt คืออะไร? รู้ครบทุกขั้นตอนการลดหย่อนภาษี

Easy e-Receipt รู้ให้ชัวร์ก่อนชอป ลดหย่อนภาษีได้สุดคุ้ม

การจัดการภาษีให้มีประสิทธิภาพและประหยัดค่าใช้จ่ายถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในทุกด้านของชีวิต การใช้ e-Receipt หรือใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์กลายเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ e-Receipt วิธีใช้งาน และประโยชน์ที่ได้รับ เพื่อให้คุณสามารถชอปปิงได้อย่างมั่นใจและลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า

e-Receipt คืออะไร?

e-Receipt หรือ ใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ คือหลักฐานการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลที่แสดงรายละเอียดการซื้อสินค้าและบริการ เช่น ชื่อรายการ จำนวนเงิน วันที่ และข้อมูลของผู้ขาย แทนการใช้ใบเสร็จแบบกระดาษที่คุ้นเคย โดยมักจะได้รับผ่านทางอีเมล แอปพลิเคชัน หรือเว็บไซต์ของผู้ขาย

คุณสมบัติเด่นของ e-Receipt

  1. รูปแบบดิจิทัล
    • e-Receipt ถูกจัดทำในรูปแบบไฟล์ดิจิทัล เช่น PDF หรือ XML ซึ่งง่ายต่อการจัดเก็บและค้นหา
  2. รองรับกฎหมายและมาตรฐานภาษี
    • e-Receipt ที่ออกโดยผู้ขายหรือผู้ให้บริการมักเป็นไปตามมาตรฐานที่กฎหมายกำหนด ทำให้สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้
  3. เข้าถึงง่ายและปลอดภัย
    • ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง e-Receipt ได้ทุกที่ผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรือคอมพิวเตอร์
  4. ลดการใช้ทรัพยากร
    • ลดการใช้กระดาษและส่งเสริมการรักษาสิ่งแวดล้อม ช่วยลดขยะและส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน

ข้อมูลสำคัญใน e-Receipt

e-Receipt มักประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญดังนี้:

  • ชื่อและที่อยู่ของร้านค้า
  • หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของร้านค้า
  • รายละเอียดสินค้า/บริการ เช่น ชื่อสินค้า จำนวน และราคา
  • วันที่และเวลาชำระเงิน
  • หมายเลขอ้างอิงหรือเลขที่ใบเสร็จ

ความแตกต่างจากใบเสร็จแบบกระดาษ

หัวข้อ e-Receipt ใบเสร็จแบบกระดาษ
การจัดเก็บ บันทึกในรูปแบบดิจิทัล ต้องเก็บเป็นเอกสารกระดาษ
ความสะดวก ค้นหาและแชร์ได้ง่ายผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล อาจยุ่งยากหากต้องค้นหาเอกสารเก่า
ความปลอดภัย สำรองข้อมูลได้บนคลาวด์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีความเสี่ยงต่อการสูญหายหรือเสียหาย
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้กระดาษ ต้องใช้กระดาษในการผลิตและจัดพิมพ์

e-Receipt ไม่เพียงตอบโจทย์การลดหย่อนภาษีและเพิ่มความสะดวกในการจัดการข้อมูลการชำระเงิน แต่ยังส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงสู่ยุคดิจิทัลและการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย

ประโยชน์ของ e-Receipt ในการลดหย่อนภาษี

การใช้ e-Receipt ไม่เพียงช่วยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการจัดการภาษี โดยเฉพาะในเรื่องการลดหย่อนภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้:


1. จัดเก็บและค้นหาเอกสารได้ง่าย

e-Receipt อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เช่น ไฟล์ PDF หรือ XML ทำให้สามารถจัดเก็บไว้ในระบบคอมพิวเตอร์หรือบนคลาวด์ได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสูญหายหรือเสียหายเหมือนกับใบเสร็จแบบกระดาษ

ตัวอย่างประโยชน์:

  • เมื่อถึงเวลายื่นภาษี คุณสามารถค้นหา e-Receipt จากโฟลเดอร์ที่จัดเก็บหรือในอีเมลได้ในไม่กี่วินาที
  • ลดเวลาที่ใช้ในการรวบรวมเอกสารภาษี

2. ลดความผิดพลาดในการยื่นภาษี

เนื่องจาก e-Receipt มีรูปแบบมาตรฐานและข้อมูลครบถ้วน เช่น หมายเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ขาย จำนวนเงิน และรายละเอียดสินค้า/บริการ ทำให้ลดโอกาสการเกิดข้อผิดพลาดในการกรอกข้อมูลภาษี

ประโยชน์ที่ได้รับ:

  • ข้อมูลที่ชัดเจนช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าเอกสารทุกฉบับถูกต้องตามข้อกำหนดของกรมสรรพากร
  • ลดโอกาสถูกตรวจสอบภาษีเนื่องจากข้อมูลไม่ครบถ้วน

3. สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีจากมาตรการรัฐ

รัฐบาลในหลายประเทศมักสนับสนุนการใช้ e-Receipt เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลและลดการใช้กระดาษ โดยอาจมีมาตรการพิเศษ เช่น

  • เครดิตภาษี: มอบสิทธิพิเศษสำหรับการใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล
  • ลดหย่อนพิเศษ: เช่น การซื้อสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา สุขภาพ หรือกิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม

ตัวอย่าง:

  • การใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่รองรับ e-Receipt อาจได้รับเครดิตภาษีเพิ่มเติมจากมาตรการรัฐ
  • ใช้ e-Receipt เป็นหลักฐานเพื่อรับการลดหย่อนสำหรับสินค้าในกลุ่มสนับสนุนสุขภาพหรือพลังงานสะอาด

4. ลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการจัดการเอกสาร

การจัดการเอกสารดิจิทัลช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์ การจัดเก็บ และการส่งเอกสาร โดยคุณสามารถรวมและอัปโหลดเอกสารผ่านระบบออนไลน์ได้โดยตรง

ผลลัพธ์:

  • ลดภาระในการจัดการเอกสารแบบกระดาษ
  • ประหยัดเวลาเมื่อคุณต้องเตรียมเอกสารสำหรับการตรวจสอบภาษี

5. สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมดิจิทัล

e-Receipt เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ช่วยให้กระบวนการด้านภาษีและการชำระเงินโปร่งใสมากขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถส่งต่อข้อมูลให้กรมสรรพากรผ่านระบบออนไลน์ได้ทันที

ข้อดีเพิ่มเติม:

  • ลดความซับซ้อนในกระบวนการยื่นภาษี
  • ช่วยให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้เสียภาษีมีการทำงานที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

6. ป้องกันการปลอมแปลงเอกสาร

e-Receipt มีระบบการเข้ารหัสและการตรวจสอบที่ทำให้เอกสารดิจิทัลมีความน่าเชื่อถือสูงกว่าการใช้ใบเสร็จแบบกระดาษ ซึ่งอาจถูกปลอมแปลงได้ง่าย

ประโยชน์ที่เห็นได้ชัด:

  • ลดความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาด้านกฎหมายหรือการปฏิเสธการลดหย่อนภาษีเนื่องจากเอกสารไม่ถูกต้อง

ตัวอย่างการใช้ e-Receipt เพื่อลดหย่อนภาษี

  • การซื้อหนังสือออนไลน์และใช้ e-Receipt เป็นหลักฐานลดหย่อนภาษีในหมวดการศึกษา
  • ใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลเอกชนซึ่งรองรับ e-Receipt เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในหมวดสุขภาพ
  • การบริจาคออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มที่รองรับ e-Receipt เพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีในหมวดการบริจาค

การใช้ e-Receipt ไม่เพียงช่วยให้การลดหย่อนภาษีเป็นเรื่องง่าย แต่ยังส่งเสริมให้คุณเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนอีกด้วย ลองเริ่มใช้งาน e-Receipt ตั้งแต่วันนี้เพื่อประโยชน์ที่คุ้มค่าในระยะยาว

วิธีเริ่มต้นใช้งาน e-Receipt อย่างง่ายดาย

การเริ่มใช้งาน e-Receipt ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน และสามารถช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการจัดการเอกสารการชำระเงินได้ทันที เพียงทำตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:


1. เลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าที่รองรับ e-Receipt

ก่อนเริ่มใช้งาน e-Receipt ควรตรวจสอบว่าร้านค้าที่คุณซื้อสินค้าหรือบริการมีระบบรองรับการออกใบเสร็จในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันร้านค้าและบริการจำนวนมาก โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์และแพลตฟอร์มชำระเงินดิจิทัล รองรับการใช้งาน e-Receipt แล้ว

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • สำหรับร้านค้าออฟไลน์ ให้สอบถามพนักงานว่ารองรับ e-Receipt หรือไม่
  • สำหรับร้านค้าออนไลน์ ให้สังเกตฟังก์ชัน “e-Receipt” ในหน้าชำระเงินหรือคำสั่งซื้อ

2. ลงทะเบียนหรือแจ้งข้อมูลเพื่อรับ e-Receipt

หลังจากชำระเงิน ร้านค้ามักจะขอข้อมูลส่วนตัวเพื่อส่ง e-Receipt ให้ เช่น อีเมล เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลบัญชีผู้ใช้งานบนแพลตฟอร์ม

วิธีการลงทะเบียนรับ e-Receipt:

  • กรอกข้อมูลในระบบร้านค้าออนไลน์: เช่น เพิ่มอีเมลที่ต้องการรับ e-Receipt ในขั้นตอนการชำระเงิน
  • แจ้งข้อมูลกับพนักงานร้านค้า: หากเป็นร้านค้าออฟไลน์ คุณอาจต้องระบุเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมลให้กับพนักงานเพื่อรับ e-Receipt
  • สมัครสมาชิกกับร้านค้า: บางร้านค้ากำหนดให้ผู้ซื้อสมัครสมาชิกก่อนเพื่อเปิดใช้งานฟังก์ชันนี้

3. ตรวจสอบ e-Receipt ที่ได้รับ

หลังจากร้านค้าส่ง e-Receipt ให้ คุณควรตรวจสอบข้อมูลในใบเสร็จทันทีเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด เช่น:

  • รายละเอียดสินค้า/บริการ
  • วันที่และเวลาในการชำระเงิน
  • จำนวนเงินที่ถูกต้อง

ข้อควรระวัง:

  • หากพบข้อผิดพลาด ให้ติดต่อร้านค้าทันทีเพื่อแก้ไข
  • เก็บหลักฐานการแก้ไขหรือข้อมูลเพิ่มเติมที่ร้านค้าส่งให้

4. เก็บรักษา e-Receipt ให้ปลอดภัย

e-Receipt ที่ได้รับควรถูกจัดเก็บในรูปแบบที่ง่ายต่อการค้นหาและใช้งาน เช่น บันทึกในอุปกรณ์ส่วนตัวหรือบนระบบคลาวด์ เพื่อความสะดวกในการใช้งานในอนาคต

ตัวอย่างวิธีการจัดเก็บ:

  • สร้างโฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน เช่น “e-Receipt สำหรับยื่นภาษี”
  • ใช้แอปพลิเคชันจัดการเอกสาร เช่น Google Drive หรือ Dropbox
  • ตั้งชื่อไฟล์ที่ระบุวันที่และรายละเอียด เช่น e-Receipt_Tax_2025_01_20.pdf

5. ใช้ e-Receipt เพื่อลดหย่อนภาษี

เมื่อต้องการยื่นภาษีประจำปี คุณสามารถรวม e-Receipt ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดและส่งให้กรมสรรพากรผ่านระบบออนไลน์หรือยื่นด้วยตนเอง

คำแนะนำ:

  • จัดหมวดหมู่ e-Receipt ตามประเภท เช่น ใบเสร็จจากการบริจาค การซื้อหนังสือ หรือค่ารักษาพยาบาล
  • ตรวจสอบมาตรการลดหย่อนภาษีล่าสุดเพื่อให้มั่นใจว่าคุณใช้สิทธิ์ได้อย่างเต็มที่

เคล็ดลับในการเริ่มต้นใช้งาน e-Receipt

  1. สมัครสมาชิกกับร้านค้าที่คุณซื้อสินค้าบ่อย: เพื่อให้การรับ e-Receipt สะดวกขึ้น
  2. อัปเดตอีเมลหรือเบอร์โทรศัพท์ให้เป็นปัจจุบัน: เพื่อป้องกันปัญหาในการรับ e-Receipt
  3. ใช้แอปพลิเคชันจัดการภาษี: เช่น แอปที่ช่วยบันทึก e-Receipt และคำนวณภาษีให้อัตโนมัติ

ตัวอย่างสถานการณ์การใช้งาน

  • ซื้อสินค้าออนไลน์: หลังจากชำระเงินในแพลตฟอร์ม เช่น Lazada หรือ Shopee ระบบจะส่ง e-Receipt มาที่อีเมลของคุณ
  • รับบริการทางการแพทย์: โรงพยาบาลเอกชนอาจส่ง e-Receipt ผ่านทาง SMS หรืออีเมล หลังจากคุณชำระค่ารักษาพยาบาล
  • ชำระค่าบริการสาธารณะ: เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ หรืออินเทอร์เน็ต ที่คุณสามารถดาวน์โหลด e-Receipt จากแอปพลิเคชันของผู้ให้บริการ

การเริ่มต้นใช้งาน e-Receipt นั้นไม่ยุ่งยาก หากคุณทำตามขั้นตอนข้างต้น คุณจะได้รับความสะดวกและประหยัดเวลาในทุกการทำธุรกรรม พร้อมทั้งเพิ่มความมั่นใจในการใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีอย่างเต็มที่

เคล็ดลับในการใช้ e-Receipt ให้คุ้มค่า

e-Receipt ไม่เพียงแค่เป็นเอกสารดิจิทัลที่ช่วยให้คุณประหยัดเวลาและลดความยุ่งยาก แต่ยังมีศักยภาพในการเพิ่มความคุ้มค่าในการใช้จ่ายและการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับที่จะช่วยให้คุณใช้ประโยชน์จาก e-Receipt ได้อย่างเต็มที่:


1. ตรวจสอบความถูกต้องทันทีที่ได้รับ

เมื่อคุณได้รับ e-Receipt ตรวจสอบข้อมูลทันทีเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้น เช่น รายละเอียดสินค้า/บริการ จำนวนเงิน วันที่ และข้อมูลผู้ขาย หากพบข้อผิดพลาด ควรติดต่อร้านค้าหรือผู้ให้บริการเพื่อขอแก้ไขโดยเร็ว

ทำไมสำคัญ?

  • เพื่อให้เอกสารถูกต้องตามมาตรฐานและสามารถใช้ในการลดหย่อนภาษีได้
  • ลดโอกาสเกิดปัญหาหรือความล่าช้าในกระบวนการตรวจสอบภาษี

2. จัดเก็บ e-Receipt อย่างเป็นระบบ

สร้างโฟลเดอร์หรือระบบจัดเก็บ e-Receipt ที่ช่วยให้ค้นหาได้ง่าย เช่น การจัดเก็บในโฟลเดอร์ตามหมวดหมู่หรือเดือน

เคล็ดลับการจัดเก็บ:

  • ใช้ชื่อไฟล์ที่ระบุรายละเอียด เช่น e-Receipt_January_2025_Tax.pdf
  • ใช้แอปพลิเคชันจัดการเอกสาร เช่น Google Drive, Dropbox หรือแอปจัดการภาษี
  • สำรองข้อมูลบนคลาวด์เพื่อป้องกันการสูญหาย

3. รวม e-Receipt ทุกครั้งที่ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับภาษี

e-Receipt เป็นหลักฐานสำคัญสำหรับการลดหย่อนภาษี ดังนั้น ควรรวบรวม e-Receipt ทุกครั้งเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เช่น

  • การซื้อหนังสือหรืออุปกรณ์การศึกษา
  • ค่ารักษาพยาบาล
  • การบริจาคให้กับมูลนิธิหรือองค์กรสาธารณกุศล

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • รวบรวม e-Receipt จากการชำระเงินผ่านร้านค้าออนไลน์หรือโรงพยาบาล เพื่อเตรียมยื่นลดหย่อนภาษีในปีถัดไป

4. ใช้สิทธิประโยชน์จากมาตรการส่งเสริมการใช้ e-Receipt

ในหลายกรณี รัฐบาลมักมีมาตรการส่งเสริมการใช้ e-Receipt เช่น การให้เครดิตภาษีเพิ่มเติมหรือสิทธิประโยชน์พิเศษเมื่อใช้จ่ายผ่านช่องทางดิจิทัล

คำแนะนำ:

  • ตรวจสอบมาตรการลดหย่อนภาษีล่าสุด เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ใช้ e-Receipt ในหมวดการศึกษา สุขภาพ หรือบริจาค
  • ใช้จ่ายผ่านร้านค้าที่รองรับ e-Receipt เพื่อให้แน่ใจว่าคุณได้รับประโยชน์สูงสุด

5. ใช้แอปพลิเคชันเพื่อจัดการ e-Receipt

การใช้แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อจัดการ e-Receipt โดยเฉพาะช่วยให้คุณจัดการเอกสารได้ง่ายขึ้น เช่น การบันทึก การค้นหา และการคำนวณภาษี

ข้อดีของการใช้แอปพลิเคชัน:

  • ระบบการแจ้งเตือนเพื่ออัปโหลด e-Receipt ทันทีหลังชำระเงิน
  • คำนวณสิทธิ์ลดหย่อนภาษีอัตโนมัติจาก e-Receipt ที่บันทึกไว้
  • สร้างรายงานที่สรุปข้อมูลการใช้จ่ายเพื่อการยื่นภาษี

6. หลีกเลี่ยงการลบทิ้งหรือสูญหาย

ถึงแม้ e-Receipt จะอยู่ในรูปแบบดิจิทัล แต่มีโอกาสที่คุณอาจลบไฟล์โดยไม่ได้ตั้งใจหรือสูญหายจากปัญหาเทคนิค เช่น การเปลี่ยนอุปกรณ์หรือปัญหาคอมพิวเตอร์

วิธีป้องกัน:

  • สำรองข้อมูล e-Receipt บนคลาวด์หรือฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก
  • สร้างโฟลเดอร์สำรองในอุปกรณ์หลายเครื่อง

7. ใช้ e-Receipt ในการเปรียบเทียบและวางแผนการเงิน

e-Receipt ช่วยให้คุณตรวจสอบการใช้จ่ายได้อย่างละเอียด เช่น รายการสินค้าที่ซื้อมากที่สุดหรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน ซึ่งสามารถนำไปใช้วางแผนการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตัวอย่างการวางแผน:

  • ตรวจสอบค่าใช้จ่ายรายเดือนเพื่อควบคุมการใช้จ่าย
  • วางแผนลดหย่อนภาษีในปีถัดไปโดยดูจากประวัติการใช้จ่าย

8. ติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษี

กฎหมายภาษีและมาตรการสนับสนุนการใช้ e-Receipt อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณควรติดตามข้อมูลอย่างใกล้ชิดเพื่อใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้อย่างคุ้มค่า

คำแนะนำ:

  • ติดตามข่าวสารจากกรมสรรพากร
  • ใช้บริการที่ปรึกษาภาษีเพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ e-Receipt

ตัวอย่างสถานการณ์การใช้ e-Receipt ให้คุ้มค่า

  • กรณีการบริจาค: คุณบริจาคผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์และใช้ e-Receipt ที่ได้รับเป็นหลักฐานยื่นลดหย่อนภาษี
  • การซื้อสินค้าการศึกษา: เมื่อซื้ออุปกรณ์การศึกษาหรือหนังสือ e-Receipt จะช่วยให้คุณใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในหมวดการศึกษาตามกฎหมาย
  • ค่ารักษาพยาบาล: ใช้ e-Receipt จากโรงพยาบาลเอกชนเพื่อลดหย่อนภาษีในหมวดค่ารักษาพยาบาล

การใช้ e-Receipt อย่างคุ้มค่าไม่เพียงช่วยเพิ่มความสะดวกในการจัดการภาษี แต่ยังช่วยให้คุณสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายและใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้เต็มที่ อย่ารอช้าที่จะเริ่มต้นใช้ e-Receipt ตั้งแต่วันนี้

สรุป

e-Receipt เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกขึ้น พร้อมทั้งช่วยลดภาระด้านเอกสารและเพิ่มความคุ้มค่าในการลดหย่อนภาษี ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การใช้ e-Receipt ไม่เพียงช่วยให้คุณประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย แต่ยังสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืน หากคุณยังไม่เคยใช้งาน e-Receipt ลองเริ่มต้นวันนี้ เพื่อการจัดการภาษีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น